สถาบันวิปัสสนาธุระ มจร

พลังจิตแห่งปัจจุบัน 01

การฝึกปฏิบัติ

พลังแห่งจิตปัจจุบัน

 

 

แก่นแท้คำสอน  สมาธิภาวนา

และแบบฝึกปฏิบัติ

จากหนังสือ  พลังแห่งจิตปัจจุบัน

 

โดย  เอ็กค์ฮาร์ท  โทลเลอ

แปลและเรียบเรียงโดย  พรรณี  ชูจิรวงศ์

 

 

การเริ่มต้นของอิสรภาพคือ

การตระหนักได้ว่าคุณไม่ได้เป็น  ผู้คิด

เมื่อคุณเริ่ม  จับตาดูผู้คิด  มันจุดประกาย

ที่ยกระดับความรู้ตัวสูงขึ้น

คุณเริ่มตระหนักว่า  อาณาจักรแห่งปัญญานั้น

กว้างใหญ่ไพศาลนัก

มากไปกว่าการคิดซึ่งเป็น

เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ  ของปัญญาเท่านั้น

คุณตระหนักว่า  ทุกสิ่งล้วนมีสาระในตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นความงาม

ความรัก  ความคิดสร้างสรรค์  ความหรรษา

ความสงบนิ่งภายใน

ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อพ้นไปไกลจากความคิด

และแล้วคุณจะ  ตื่น

 

.....

 

ส่วนที่ 1

.....

สัมผัสอำนาจแห่งความเป็นปัจจุบัน

 

 

เมื่อความรู้ตัวถูกชี้นำไปข้างนอก

ความคิดและโลกจะปรากฏ

แต่เมื่อความรู้ตัวอยู่ข้างใน

มันตระหนักถึงต้นกำเนิดของตัวเอง

และเดินทางกลับบ้าน..สู่สิ่งที่ยังไม่เห็น

 

.....

 

บทที่ 1

.....

สิ่งที่เป็นอยู่จริงกับการรู้แจ้ง

มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีวันดับ  ชีวิตหนึ่งที่มีรูปแบบมากมายไม่เพียงแค่เกิดหรือตาย  คนส่วนใหญ่เรียกมันว่า  พระเจ้า  แต่ผมมักเรียกมันว่า  สิ่งที่เป็นอยู่จริง  คำว่า  สิ่งที่เป็นอยู่จริง  ไม่ได้อธิบายอะไรพอๆ  กับคำว่าพระเจ้า  แต่อย่างไรก็ดี  ข้อดีของคำนี้คือมันเป็นแนวคิดแบบเปิด  มันไม่ได้ลดสิ่งที่มองไม่เห็นที่ไม่มีที่สิ้นสุดให้ลงมาเหลือแค่ขอบเขตที่จำกัด  มันไม่สามารถสร้างออกมาเป็นภาพความคิดได้  ไม่มีใครสามารถแอบอ้างแสดงความเป็นเจ้าของได้  เพราะมันคือแก่นที่อยู่ในตัวคุณ  เป็นของคุณ  ความรู้สึกว่าเป็นคุณ  มันเป็นแค่ก้าวเล็กๆ  จากคำๆ  หนึ่งไปสู่ประสบการณ์ยิ่งใหญ่ที่กำลังจะได้สัมผัส

            สิ่งที่เป็นอยู่จริงไม่เพียงไปไกลกว่านั้น  แต่ยังลึกลงไปข้างใน  อยู่ในทุกรูปแบบ  เป็นแก่นที่มองไม่เห็นและไม่สามารถทำลายได้  คุณสามารถเข้าถึงมันได้เพราะมันอยู่ลึกในตัวคุณ  เป็นธรรมชาติในตัวคุณอย่างแท้จริง  แต่อย่าใช้ความคิดเสาะหามัน  อย่าพยายามเข้าใจมัน

            คุณสามารถสัมผัสมันได้เมื่อใจของคุณนิ่งพอ  เมื่อคุณตั้งมั่นอยู่ในความเป็นปัจจุบันอย่างแรงกล้าเต็มที่  คุณสามารถรู้สึกถึงสิ่งที่เป็นอยู่จริงได้  แต่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยความคิด

           

การค้นพบและการ  รู้จริง  นั่นแหละคือการรู้แจ้ง

คำว่า  รู้แจ้ง  มาจากภาพความคิดและพวกเหนือมนุษย์ที่บรรลุแล้ว  และอัตตาของพวกเขาอยากให้มันเป็นของพวกเขาเท่านั้น  แต่แท้จริงแล้วมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่สามารถรู้สึกถึง  สิ่งที่เป็นอยู่จริง  ซึ่งวัดไม่ได้  ทำลายไม่ได้  เป็นแก่นแท้ในตัวคุณ  และมากกว่าความเป็นคุณ  เป็นการค้นหาธรรมชาติที่แท้จริงของคุณมากไปกว่าแค่ชื่อหรือรูปลักษณ์

ถ้าคุณยังเข้าไม่ถึงสภาวะนี้  คุณจะเกิดภาพหลอนของความรู้สึกแปลกแยกจากตัวเองและจากโลกรอบตัว  ความกลัวเข้าครอบงำ  ความขัดแย้งภายนอกและภายในเกิดขึ้นจนเป็นปกติวิสัย

อุปสรรคสำคัญของการเข้าถึงความจริงในการเชื่อมโยงคุณกับสิ่งที่เป็นอยู่จริงคือ  การเข้าไปเกี่ยวข้องและยึดติดกับความคิดที่ทำให้คุณตกอยู่ในห้วงความนึกคิดในใจ  การที่ไม่สามารถหยุดคิดได้เป็นความทุกข์ทรมานแสนสาหัส  แต่ไม่มีใครคิดว่านี่คือปัญหา  เพราะมันถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติวิสัยไปแล้ว  เสียงที่ดังก้องในหัวอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนี้เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้คุณค้นพบดินแดนแห่งความสงบนิ่งภายใน  (หรือสุขภาวะทางจิต)  ที่ไม่สามารถแยกออกจากสิ่งที่เป็นอยู่จริง  มันยังสร้างตัวตนผิดๆ  ที่ทอดเงาของความกลัวและความทรมานอีกด้วย

การเข้าไปเกี่ยวข้องและยึดติดกับความคิดทำให้เกิดแนวความคิด  นิยาม  ภาพลักษณ์  คำพิพากษา  คำจำกัดความ  ที่ปิดกั้นความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างคุณกับตัวคุณ  หรือคุณกับคนอื่น  คุณกับธรรมชาติ  คุณกับสัจธรรม  มันสร้างภาพลวงของความแตกแยก  ภาพลวงที่แยก คุณ  ออกจาก  คนอื่น  โดยสิ้นเชิง  คุณลืมข้อเท็จจริงแห่งชีวิตที่ว่า  แม้รูปภายนอกจะต่างกัน  แต่ทุกสิ่งล้วนเป็นสิ่งเดียวกันทิ้งสิ้นทั้งปวง

ความคิดเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมหากคุณใช้มันถูกวิธี  แต่ถ้าใช้ผิด  มันจะเป็นอันตรายมาก  ถ้าจะพูดให้ชัดกว่านี้ต้องบอกว่า  ไม่บ่อยนักหรอกที่คุณจะใช้ความคิดในทางที่ผิด  แต่คุณไม่ได้ใช้มันเลยแม้แต่นิดเดียว  ความคิดต่างหากที่ใช้คุณ  และนี่คือเชื้อโรค  คุณเชื่อว่าคุณคือความคิดของคุณ  มันคือความเข้าใจผิดถนัด  เครื่องมืออันตรายนั่นมาบงการคุณแล้ว

มันแทบกลายเป็นว่า  มันเป็นเจ้าของตัวคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว  ดังนั้น  คุณเลยเหมาว่าเป็นตัวคุณ

 

การเริ่มต้นของอิสรภาพคือ  การตระหนักได้ว่าคุณไม่ได้กลายเป็น  ผู้คิด  เมื่อรู้เช่นนั้น  คุณสามารถสังเกตสิ่งที่เป็นอยู่ได้  ขณะที่คุณเริ่ม  จับตาดูผู้คิด  มันจุดประกายที่ยกระดับความรู้ตัวให้สูงขึ้น

คุณเริ่มตระหนักว่าอาณาจักรแห่งปัญญานั้นกว้างใหญ่ไพศาลนัก  มากไปกว่าการคิดซึ่งเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ  ของปัญญาเท่านั้น  คุณตระหนักว่าทุกสิ่งล้วนมีสาระในตัวเอง  ไม่ว่าจะเป็นความงาม  ความรัก  ความคิดสร้างสรรค์  ความหรรษา  ความสงบนิ่งภายใน  ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อพ้นไปไกลจากความคิด  และแล้วคุณจะ  ตื่น

.....

 

เป็นอิสระจากความคิดของคุณ

 

            เรื่องที่น่ายินดีคือ  คุณสามารถปลดแอกจากความคิดของคุณได้  และนี่คืออิสรภาพอย่างแท้จริง  คุณสามารถลงมือปฏิบัติขั้นแรกได้    บัดนี้

            เริ่มด้วยการฟังเสียงที่ก้องอยู่ในหัวให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้  ดูว่าอะไรคือสิ่งที่คุณได้ยินซ้ำๆ  บ่อยๆ  ราวกับฟังเทปม้วนเดิมเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นแรมปี

            นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่า  จับตาดูผู้คิด  หรืออีกนัยหนึ่งคือฟังเสียงที่ก้องอยู่ในหัว  จงอยู่ที่นั่นในฐานะผู้สังเกตการณ์

            ขณะที่คุณฟังเสียงนั่น  ให้ฟังอย่างไม่มีอคติ  อย่าตัดสินหรือตำหนิสิ่งที่คุณได้ยิน  เพราะมันอาจกลายเป็นว่ามีอีกเสียงหนึ่งก้องมาจากอีกฟากหนึ่ง  ในไม่ช้าคุณจะรู้ตัวว่ามีเสียงก้องอยู่ในหัวคุณ  และคุณกำลังฟังมันอยู่  จับตาดูอยู่  สิ่งที่คุณรับรู้นี้ไม่ใช่ความคิด  แต่คือการรู้จริงที่พ้นจากการรับรู้ด้วยความคิด

            ฉะนั้น  ขณะที่คุณฟังความคิด  คุณไม่ได้รับรู้เฉพาะเสียงที่ได้ยิน  คุณรับรู้ถึงตัวคุณเองว่ากำลังสังเกตการณ์อยู่ด้วย  มิติใหม่ของสติได้เข้ามาหาคุณแล้ว

 

            ขณะที่คุณฟังความคิด  คุณมีสติของปัจจุบันขณะ  มันเป็นตัวตนที่ลึกกว่าของคุณ  ซึ่งอยู่ข้างหลังหรือข้างใต้ของความคิด  ความคิดจะไม่มีอำนาจเหนือคุณ  แต่จะเป็นรอง  ความคิดหมดแรงลงเพราะคุณเลิกเติมพลังให้มันด้วยการเข้าไปเกี่ยวข้องและยึดติดกับมัน  นี่เป็นการเริ่มต้นของการหยุดความนึกคิดในใจ

            เมื่อความคิดเป็นรอง  คุณได้สัมผัสกับ  จิตว่าง  ซึ่งคือที่ว่างที่ปราศจากความคิด  ตอนแรกคุณอาจสัมผัสจิตว่างได้เพียงชั่วครู่  แค่ไม่กี่วินาที  แต่ต่อไปคุณจะสัมผัสได้นานขึ้น  เมื่อคุณได้สัมผัสกับจิตว่าง  คุณรู้สึกสงบนิ่งอยู่ภายในนี่เป็นจุดเริ่มของการกลับไปสู่สภาพธรรมชาติในตัวคุณที่เป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่เป็นอยู่จริงที่ถูกความคิดบดบังมาโดยตลอด

            ด้วยการฝึกฝนเช่นนี้  คุณจะสงบลึกลงไปเรื่อยๆ  ไม่มีสิ้นสุด  คุณจะได้สัมผัสกับความเกษมที่แผ่ซ่านอยู่ภายในและนั่นคือสุขภาวะทางจิต

 

            เมื่อจิตว่าง  คุณรู้ตัวมากกว่าเดิมหลายเท่า  คุณตื่นจากความคิดที่แยกแยะสิ่งต่างๆ  เอาไว้แล้ว  คุณมีสติ  และมันยังเพิ่มความถี่สั่นสะเทือนให้สนามพลังที่หล่อเลี้ยงร่างกายคุณด้วย

            เมื่อคุณดิ่งลึกลงไปสู่อาณาจักรที่ปราศจากความคิด  หรือที่ปรัชญาตะวันออกเรียกว่าทำจิตให้ว่าง  คุณได้สัมผัสกับจิตบริสุทธิ์  ในสภาวะนี้  คุณรู้สึกถึงจิตปัจจุบันของตัวเองที่แรงกล้าและเต็มไปด้วยความปีติที่ไม่สามารถเทียบกับอารมณ์ความรู้สึกทางกายใดๆ ได้  นอกจากนั้น  นี่ไม่ใช่การเห็นแก่ตัว  แต่เป็นสภาวะที่  ไร้ตัวตน  มันพาคุณไปไกลกว่าสิ่งที่ก่อนหน้านี้ความคิดของคุณเรียกว่า  ตัวคุณ  สิ่งนั้นคือตัวคุณที่แท้  และขณะเดียวกันก็ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการคิด

            นอกจากการ  จับตาดูผู้คิด  คุณสามารถทำจิตให้ว่างได้อีกวิธีหนึ่งง่ายๆ  ด้วยการควบคุมความสนใจของคุณให้อยู่กับปัจจุบันขณะ  และตั้งมั่นอยู่ในจิตปัจจุบัน

 

            นี่คือสิ่งที่พึงกระทำอย่างยิ่ง  วิธีนี้ช่วยให้คุณมีสติและหลุดออกจากกิจกรรมทางความคิด  เข้าสู่จิตว่างที่คุณรู้ตัวมากขึ้น  นี่คือสาระของการทำสมาธิ

 

            ในชีวิตประจำวัน  คุณสมารถฝึกสมาธินี้ได้ด้วยการทำกิจวัตรประจำวันอย่างมีสติ  เช่น  ทุกครั้งที่คุณขึ้น-ลงบันไดในบ้านหรือที่ทำงาน  กำหนดจิตในทุกย่างก้าว  ทุกขณะทุกลมหายใจเข้า-ออก  ตั้งมั่นอยู่กับปัจจุบันทั่วทั้งตัว

            หรือเวลาคุณล้างมือ  คุณต้องมีสติกับทุกสิ่ง  เช่น  ได้ยินเสียงน้ำไหล  รู้สึกถึงมือที่เคลื่อนไหว  ได้กลิ่นสบู่  เป็นต้น

            หรือเมื่อคุณก้าวเข้าไปในรถ  หลังจากที่ปิดประตูรถแล้ว  หยุดสักสองสามวินาทีเพื่อสำรวจลมหายใจเข้า-ออกนิ่งแต่ทรงพลัง

            เกณฑ์ที่ใช้วัดผลความสำเร็จจากการฝึกนี้คือ  ระดับของความสงบนิ่งภายใน

 

            ก้าวย่างที่สำคัญที่สุดในการเดินทางไปสู่แสงแห่งปัญญาคือเรียนรู้ที่จะเลิกข้องเกี่ยวและยึดติดกับความคิด  ทุกครั้งที่จิตว่างแสงแห่งปัญญาจะส่องสว่างแรงกล้าขึ้น

            วันหนึ่งคุณอาจพบว่า  คุณกำลังยิ้มให้กับเสียงที่ก้องในหัวคุณราวกับเห็นท่าทางเปิ่นๆ ของเด็กๆ  นั่นแสดงว่า  คุณไม่ได้จริงจังกับทุกสิ่งที่คิด  คุณไม่เป็นทาสของความคิดอีกแล้ว

....*****************.

 

ปัญญาอยู่เหนือความคิด

 

            เมื่อคุณโตขึ้น  คุณสร้างภาพความคิดว่าคุณคือใครโดยตั้งอยู่บนสภาวะที่ถูกฝึกมาจนเคยชินของคุณหรือของสังคม  เราอาจเรียกตัวตนนี้ว่า  อัตตา  มันประกอบจากกิจกรรมของความคิดที่แกร่งกล้าขึ้นด้วยการคิดอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา  แต่ละคนอาจแปลความหมายคำว่าอัตตาแตกต่างกันไป  แต่สำหรับผม  อัตตาคือตัวตนจอมปลอมที่สร้างขึ้นโดยการยึดติดกับความคิดอย่างไม่รู้ตัว

            สำหรับอัตตาแล้ว  สิ่งสำคัญมีเพียงอดีตและอนาคตเท่านั้น  มันไม่นึกถึงปัจจุบันซึ่งผิดข้อเท็จจริง  และทำให้ความคิดผิดเพี้ยนไป  อัตตาคอยหล่อเลี้ยงอดีตให้คงอยู่  เพราะหากไม่มีอดีตแล้ว  คุณจะเป็นใครกันล่ะ?  อัตตาฉายภาพตัวมันอยู่ในอนาคตเสมอเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะยังคงอยู่  และคอยเสาะแสวงหาสิ่งที่จะปลดปล่อยหรือเติมมันให้เต็ม  มันคอยบอกว่า  วันหนึ่ง  ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ฉันจะไม่เป็นไร  ฉันยังคงมีความสุขอยู่ในความสงบ

            ถึงแม้ขณะที่อัตตาดู่เหมือนจะสนใจกับปัจจุบัน  แต่มันไม่เห็นปัจจุบัน  มันรับรู้ปัจจุบันอย่างผิดๆ  และมองปัจจุบันด้วยดวงตาของอดีต  ปัจจุบันเป็นเพียงแค่ปลายทางของอดีตที่เชื่อมไปสู่อนาคต  ลองสังเกตความคิดของคุณสิ  แล้วจะเห็นว่ามันเป็นเช่นนี้จริงๆ

 

            ปัจจุบันขณะคือกุญแจแห่งอิสรภาพ  แต่คุณไม่สามารถพบกับปัจจุบันขณะได้ตราบที่คุณยังเป็นความคิดของคุณ

            ปัญญาอยู่เหนือความคิด  เมื่อมีปัญญา  คุณยังคงใช้สมองที่คิดในยามจำเป็น  แต่คิดอย่างมุ่งเน้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  คิดตามความเป็นจริงเป็นส่วนใหญ่  คุณเลิกพูดพร่ำกับตัวเองแล้วและมันเกิดความสงบนิ่งอยู่ภายใน

            ยามที่คุณต้องคิดจริงๆ  โดยเฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องคิดอะไรที่สร้างสรรค์  คุณจะเกิดอาการคิด-นิ่ง-คิด-นิ่งสลับกันไปมาระหว่าง  จิตที่คิด  กับ  จิตที่ไร้ความคิด  (จิตว่าง)  ซึ่ง  จิตที่ไร้ความคิด  หมายถึง  การมีสติโดยไม่คิด  เฉพาะวิธีนี้เท่านั้นที่มันเป็นไปได้ที่จะเกิดความคิดสร้างสรรค์  เพราะวิธีนี้เท่านั้นที่ความคิดจะแสดงพลังที่แท้จริงออกมา  ด้วยความคิดโดยลำพังแล้ว  มันเปรียบเสมือนการสิ้นคิด  ไร้เหตุผล  และบ่อนทำลายอีกด้วย

อารมณ์  ปฏิกิริยาของร่างกายต่อความคิด

 

            คำว่า  ความคิด  ที่ผมใช้ไม่ได้หมายถึงแค่ความคิดเท่านั้น  แต่รวมถึงอารมณ์ตลอดจนปฏิกิริยาทั้งหมดที่ตอบสนองทางทางอารมณ์ต่อความคิดอย่างไม่รู้ตัวด้วย  อารมณ์เกิดขึ้นในจังหวะที่ความคิดกับร่างกายปะทะกัน  อารมณ์คือปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อความคิดของคุณ  หรืออาจบอกว่าเป็นการสะท้อนความคิดผ่านทางร่างกายก็ได้

            ยิ่งคุณยึดติดกับสิ่งที่คุณคิด  สิ่งที่คุณชอบ-ไม่ชอบ  การตัดสินหรือการตีความหมายสิ่งต่างๆ  มากเท่าไหร่  หรือกล่าวได้ว่าคุณอยู่กับปัจจุบันในฐานะผู้สังเกตอย่างรู้ตัวน้อยลง  พลังอารมณ์ยิ่งแรงกล้ามากขึ้นไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  ถ้าคุณไม่สามารถรู้ทันถึงอารมณ์ของตัวเอง  ถ้าคุณถูกตัดขาดจากพวกมัน  คุณจะได้พบกับมันในรูปของปัญหาหรืออาการทางร่างกายล้วนๆ

 

            ถ้าคุณรู้ทันถึงอารมณ์ของคุณได้ยาก  ให้เริ่มเพ่งความสนใจไปที่สนามพลังงานของร่างกายคุณที่อยู่ภายใน  รู้สึกถึงร่างกายจากข้างใน  สิ่งนี้จะนำคุณไปสัมผัสกับอารมณ์ของคุณ

            ถ้าคุณอยากรู้ความคิดของคุณจริงๆ  ร่างกายจะสะท้อนออกมาให้เห็นเสมอ  ฉะนั้น  จงดูที่อารมณ์หรือรู้สึกให้ได้ถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในตัวคุณ  ถ้าเกิดความขัดแย้งกันเมื่อไหร่ความคิดจะเป็นตัวโกหก  อารมณ์ต่างหากที่เป็นตัวจริง  ไม่ใช่ความจริงแท้ว่าคุณเป็นใครหรอกนะ  แต่แค่แสดงสภาพจิตใจที่แท้จริงของคุณในขณะนั้น

            บางทีคุณยังไม่สามารถรับรู้กิจกรรมของความคิดเลยว่ามันคือความคิด  แต่มันจะสะท้อนออกมาทางกายในรูปของอารมณ์เสมอ  และนี่จะทำให้คุณรับรู้ได้

            การเฝ้าดูอารมณ์ด้วยวิธีนี้โดยพื้นฐานแล้วก็คล้ายกับการเฝ้าดูความคิดอย่างที่ผมได้อธิบายมาแล้วข้างต้น  เพียงแต่ว่าความคิดอยู่ในหัว  อารมณ์อยู่ในกาย  คุณสามารถสัมผัสหรือรู้สึกถึงมันได้  คุณอาจปล่อยให้อารมณ์เกิดขึ้นในช่วงขณะนั้น  แต่อย่าให้มันควบคุมคุณ  คุณไม่ใช่อารมณ์อีกแล้ว  แต่คุณเป็นผู้จับตาดูมัน  ดูอยู่ในปัจจุบัน

 

            เมื่อคุณฝึกฝนเช่นนี้  ทุกสิ่งที่คุณไม่มีสติความรู้ตัวจะถูกนำไปสู่แสงแห่งปัญญา

            หมั่นตั้งคำถามตัวเองจนเป็นนิสัยว่า  เกิดอะไรขึ้นข้างในฉันตอนนี้?  คำถามนี้จะพาคุณไปถูกทิศทาง  แต่อย่าวิเคราะห์นะ  แค่เฝ้าดู  ตั้งสติให้มั่นอยู่ภายใน  รู้สึกถึงพลังงานของอารมณ์ 

            ถ้าไม่มีอารมณ์หลงเหลืออยู่ในตอนนี้  จงเพ่งสติลึกลงไปให้ถึงสนามพลังงานภายในกายคุณ  นั่นละคือประตูสู่  สิ่งที่เป็นอยู่จริง