การส่งและสอบอารมณ์
ความหมาย
การส่งอารมณ์ หมายถึง การนำเอาประสบการณ์อันเกิดจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐาน ๔ มาเล่าแก่ผู้มีหน้าที่รับฟัง (พระวิปัสสนาจารย์) เพื่อให้คำแนะนำที่ดีและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสมตรงตามสภาวธรรมของผู้ปฏิบัติ
การสอบอารมณ์ หมายถึง การที่บุคคลได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการและพระสงฆ์ (พระวิปัสสนาจารย์) ว่ามีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่สอบอารมณ์ ให้คำแนะนำวินิจฉัยประเมินผลเพื่อเพิ่มหรือลดลำดับขั้นของการปฏิบัติให้ถูกต้องและตรงกับสภาวธรรมที่แท้จริงของผู้ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
๑. ต้องมีความซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อตัวเอง
๒. ต้องเล่าให้ตรงกับสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจริงในขณะปฏิบัติ
๓. ต้องเล่าไปตามลำดับไม่ควรตัดลัดขั้นตอนโดยไม่จำเป็น
๔. ต้องตั้งใจเล่าให้เสียงดังพอสมควร
-
วิธีการส่งอารมณ์
-
๑. การนั่งกำหนด (การนั่งสมาธิ)
- ต้องตั้งใจเล่าอย่างมีสติเสียงดังฟังชัดทุกถ้อยคำไม่เนิบนาบเยิ่นเย้อ หรือกวน
- เล่ากึงประสบการณ์ที่นั่งผ่านมา นั่งกำหนดกี่ระยะเวลากี่นาที (อันดับแรก)
- เล่าอารมณ์หลังอาการพองหนอ – ยุบหนอ ว่ามีลักษณะหรือรู้อาการเคลื่อนไหว อย่างไร
- จิตใจจดจ่ออยู่ที่อาการพอง – ยุบ อย่างต่อเนื่องหรือไม่ (มากหรือน้อย)
- กำหนดได้สะดวกดีและทันปัจจุบันหรือไม่
- กำหนดพอง – ยุบ รู้อาการโดยตลอดหรือไม่ คำบริกรรม (นึกในใจ) จิต สติ เป็นไปพร้อมกันหรือไม่
- ขณะกำหนดอยู่เมื่อมีอารมณ์ (สภาวธรรม) อื่นแทรกเข้ามาชัดเจนกว่าอารมณ์ หลักควรจะกำหนดหรือไม่อย่างไร
- เมื่อจิตไม่จดจ่อกับอาการพอง – ยุบ เช่น ไปคิดถึงเรื่องราวในอดีตบ้าง อนาคต บ้างผู้ปฏิบัติต้องกำหนดรู้หรือไม่ ถ้ากำหนด ๆ อย่างไร
- ถ้ามีเวทนา (ความเสวยอารมณ์) สุข ทุกข์ เจ็บ ปวด เมื่อย คัน ชา เกิดขึ้นชัดเจน ผู้ปฏิบัติต้องกำหนดรู้ กำหนดอย่างไร
- บางครั้ง ความชอบใจ ปลื้มใจ ยินดีพอใจ ไม่ชอบ เกลียด โกรธ ฟุ้งซ่าน รำคราญหงุกหงิด ง่วงซึม ท้อแท้ เบื่อหน่าย เศร้า เหงา วิตกกังวล ลังเล สงสัย เมื่อความ รู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้ปรากฏขึ้นในความรู้สึก ผู้ปฏิบัติต้องกำหนดรู้ กำหนดแล้วจาง หายไป ดับไปหรือไม่
- ขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส เย็น ร้อน อ่อนแข็ง เคร่งตึง เคลื่อนไหว เมื่อปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้เกิดขึ้น ผู้ปฏิบัติกำหนดรู้ แล้ว มีอะไรเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และเสื่อมไปบ้าง
- บางคนนั่งแล้วน้ำลายไหล คอแห้ง เห็นแสงสี เห็นรูปภาพ ตัวเบา ตัวอ่อน ตัวโยก โครง เอนเอียง ตัวสั่น ฯลฯ ปรากฏการณ์เช่นนี้ผู้ปฏิบัติควรกำหนดรู้หรือไม่อย่างไร (เล่าให้พระวิปัสสนาจารย์ฟัง)
- เล่าสภาวธรรมที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวถึงถ้ามี
-
๒. การเดินกำหนด (เดินจงกรม)
- เล่าถึงการเดินจงกรม เดินกี่ระยะ เวลากี่นาที
- จิตใจจดจ่อกับคำบริกรรม (นึกในใจ) และเป็นไปพร้อมกันอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนทันปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร
- ขณะเดินจงกรมถ้าเกิดมีสภาวธรรมอื่น ที่ชัดเจนมากกว่าการเดินแทรกเข้ามา ผู้ ปฏิบัติ กำหนดอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นขณะกำหนดสภาวธรรมนั้น
- จิตอยู่กับอารมณ์ภายใน (การเดิน) หรืออารมณ์ภายนอก(เช่น เห็น ได้ยิน คิดฯลฯ) มากกว่า
- เมื่อเดินจงกรมอยู่ถ้ามีสภาวธรรมแทรกเข้ามาและชัดเจนมากกว่าในส่วนที่่่กล่าวถึงแล้ว ผู้ปฏิบัติก็พึงเล่าถึงการกำหนดรู้อารมณ์นั้น ๆ ด้วยถ้ามี
-
๓. การกำหนดอิริยาบถย่อย เช่น (รับประทานอาหาร)
- ตั้งใจเล่าถึงอาการเคลื่อนไหวในอิริยาบถเหล่านี้ กำหนดได้หรือไม่ได้ เพราะอะไรไม่ได้เพราะเหตุใด
- การเหลียงดู การคู้เข่าเหยียดออก
- การใช้สังฆาฏิ บาตร และจีวร
- การกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม
- การยืน การตื่นนอน การพูด การนั่งอยู่ ฯลฯ
-
หมายเหตุ
เมื่อผู้ปฏิบัติเล่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ประสบพบมาจริง ๆ ในขณะปฏิบัติ ในแต่ละวันจบลงพึงตั้งใจฟังพระวิปัสสนาจารย์ที่จะให้คำแนะนำตักเตือน ว่าจะเพิ่มหรือลดบทเรียนในการกำหนด การปรับแต่งอินทรีย์ ปละโอวาทต่อไปจนจบ จากนั้นก็พึงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ โดยกำหนดรู้ด้วยทุกครั้ง กำหนดเดินกลับที่พัก และที่ปฏิบัติของตนเองต่อไป
คุณสมบัติของพระวิปัสสนาจารย์
๑. เป็นพระภิกษุอยู่ในขั้นเถระภูมิ คือมีพรรษาตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไป
๒. ได้เรียนและปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานมาดี และผ่านญาณมาโดยบริบูรณ์แล้ว
๓. มีความรู้ทางปริยัติ แม้ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญ แต่ก็มีความรู้ดีพอสมควร
๔. มีอินทรีย์สังวร จริยาวัตรงดงาม วางตัวได้เหมาะสมและเป็นที่เคารพศรัทธาของโยคี
๕. สามารถเทศนาเรื่องวิปัสสนากัมมัฏฐาน ให้ศิษย์มีความรู้ ความเข้าใจ
คุณสมบัติของผู้ปฏิบัติธรรม ๕ ประการ
๑. เป็นผู้มีศรัทธา เชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
๒. เป็นผู้ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไฟธาตุในท้องทำหน้าที่ย่อยอาหารสม่ำเสมอ ไม่เย็นเกินไป ไม่ ร้อนเกินไป อยู่ระดับปานกลาง เหมาะแก่การทำความเพียร
๓. ไม่เป็นคนโอ่อวด ไม่มีมายา เปิดเผยตนเองตามความเป็นจริงต่อพระบรมศาสดาหรือ ต่อเพื่อนพรหมาจารีผู้รู้
๔. พยายามทำความเพียร ในการละอกุศลธรรมทั้งหลาย และในการเข้าถึงกุศลธรรมทั้ง กลาย มีความเข็มแข็ง บากบั่นมั่นคงไม่ทอดธุระในการบำเพ็ญธรรมที่เป็นกุศล
๕. เป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญารู้ความเกิดและความดับ รู้ความสิ้นทุกข์ โดยชอบ ทะลุปรุโปร่งอย่างประเสริฐ
-
สรุปการนั่งกำหนด
นิสีทติ ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา อุชุกายํ ปณิธาย, ปริมุขํ สติ อุปฺฏฐเปตวา
นั่งคู้บัลลังตั้งกายตรง ตั้งสติ เข้าสู่อารมณ์ (กรรมฐาน) เฉพาะหน้า
-
ก. วิธีปฏิบัติ
๑. นั่งขัดสมาธิ ตั้งกายให้ตรง คอตรง
๒. ต้องมีสติระลึกรู้อาการ เคลื่อนไหว
๓. ใจจดจ่ออยู่ที่อาการขึ้นๆ ลงๆ ของท้อง
๔. กำหนดที่ตรงสะดือในขณะที่กำหนดต้องหลับตา
๕. ใช้จิตเพ่งดูอาการเคลื่อนไหวบริเวณท้อง
๖. ขณะที่ท้องพองขึ้นกำหนด (บริกรรมหรือนึกในใจ) ว่า “พองหนอ”
๗. ขณะที่ท้องแฟบลงกำหนดว่า “ยุบหนอ”
๘. จิตที่รู้อาการพอง – ยุบ กับคำบริกรรมและสติระลึกรู้อยู่ต้องเป็นไปพร้อมกันจะไม่ก่อนหรือหลัง
๙. ถ้ามีอารมณ์อื่นแทรกซึ่งชัดเจนว่าต้องทิ้งพอง – ยุบ จากนั้นตั้ง
ข. สิ่งที่ไม่พึงกระทำ (ขณะกำหนด)
๑. ไม่นั่งตัวงอ เอน เอียง หรือก้มศีรษะ (เว้นผู้ที่มีสภาพร่างกายเป็นเช่นนั้น)
๒. ไม่ออกเสียงหรือบ่นพึมพำในขณะกำหนดพอง – ยุบ
๓. ไม่ลืมตาเพื่อสอดส่ายหาอารมณ์
๔. ไม่พยายามเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ เพราะจะทำให้สมาธิขาดความต่อเนื่อง
๕. ไม่ควรนั่งพิง (เว้นกรณีแก้สภาวะหรือจำเป็นจริง ๆ)
๖. ไม่ควรนำคำบริกรรมอื่น อันไม่ตรงตามสภาวะความเป็นจริง
๗. ไม่บังคับลมหายใจเข้า – ออก เพื่อจะกำหนดพอง - ยุบ
ค. ข้อยกเว้น (สำหรับบางคนที่กำหนดพอง – ยุบ ได้ยาก)
๑. ใช่ฝ่ามือแตะที่หน้าท้องตรงบริเวณสะดือเพียงเบา ๆ
๒. เอาจิตไปจอจ่อที่อาการเคลื่อนไหวของทองที่ดันมือเราขึ้น
๓. เมื่ออาการดังกล่าวละจากฝ่ามือของเราไปพึงเอาใจจดจ่อตั้งสติกำหนดว่า “ยุบหนอ”
๔. ให้กำหนดอาการนั่งหนอ ถูกหนอ แทนอากรพอง – ยุบ หรือบริกรรมในใจเพียงรู้อาการ นั่งเท่านั้น
๕. การกำหนดถูกหนอให้กำหนดตรงกันย้อยที่ด้านขวาสัมผัสพื้นรู้อาการถูกต้องสัมผัส “ถูกหนอ"”กำหนด
-
สรุปการยืนกำหนด
-
ก. หลักการปฏิบัติ
ฐิโต วา ฐิโตมฺหีติ ปชานาติ ยืนอยู่ ก็กำหนดรู้ว่า ข้าพเจ้ายืนอยู่
ข. วิธีการปฏิบัติ
๑. ยืนตัวตั้งตรง คอตรง มือไขว้หลัง
๒. ลืมตาพอประมาณสายตามองไกลทำมุม ๔๕ องศา ประมาณ ๔ ศอก หรือ ๑ วา
๓. เอาจิตใจจดจ่ออยู่ที่อากัปกิริยาของการยืนโดยบริกรรม (นึกในใจ ว่า “ยืนหนอ” ๓ ครั้ง
๔. ขณะที่นึกในใจว่า “ยืนหนอ” ต้องรู้สึกตัวว่ายืนอยู่จริง
๕. จิตจดจ่อกับคำบริกรรมและสติกำหนดรู้ต้องเป็นไปพร้อมกันอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
-
ค. ข้อที่ไม่พึงกระทำ (ขณะกำหนด)
๑. ไม่ควรหลับตา หรือสอดส่ายสายตาเพื่อหาอารมณ์อื่น
๒. ไม่ควรก้มหรือเชิดหน้า
๓. ไม่ควรกำหนดพอง – ยุบ (เว้นแต่มีกรณีจำเป็น)
๔. ไม่ควรใช่จิตเพ่งดูสัณฐานส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายโดยเฉพาะ เช่น ปลายเท้า หัวเข่า หน้าท้อง ตรงสะดือ หน้าอก ศีรษะ หน้าผาก ปลายผม เป็นต้น
สรุปการเดินจงกรม
ก.หลักการปฏิบัติ
คจฺฉนฺโต วา คจฺฉามีติ ปชานาติ เดินอยู่ก็กำหนดรู้ว่า ข้าพเจ้าเดินอยู่
-
ข. วิธีการปฏิบัติ
๑. ตาเตรียมไว้มองประมาณ ๔ ศอก
๒. จิตจ่ออยู่ที่อาการเคลื่อนไหวของเท้าสติต้องเป็นพร้อมกันอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
๓. คำบริกรรม (นึกในใจ) กับจิตและสติต้องเป็นพร้อมกันอย่างครบถ้วนสมบูรณ์
๔. ในขณะที่เดินอยู่ถ้าเกิดมีอารมณ์อื่นที่ชัดเจนมากกว่าพึงหยุด และกำหนดอารมณ์นั้น ทันที
๕. เดินช้า ๆ จิตจดจ่อ มีสติกำหนดรู้อย่างต่อเนื่อง
๖. พยายามเอาใจใส่ในอาการเคลื่อนไหวในระยะนั้น ๆ ทุก ๆ ขณะของการเดิน
-
ค. สิ่งที่ไม่พึงกระทำขณะกำหนด
๑. ไม่ยกเท้าสูงเกินไป
๒. ไม่ก้าวเท้ายาว หรือท่องบ่นไปด้วย เว้นผู้ใหม่
๓. ไม่ออกเสียง หรือท่องบ่นไปด้วย เว้นผู้ใหม่
๔. ไม่ก้มดูเท้า หรือสัณฐานบัญญัติของเท้า
๕. ไม่ควรเดินช้าจนเกินไปจนราวกับว่าเป็นการแสดง หรือดัดจริต
ง. ข้อยกเว้นบางอย่าง
๑. เดินเร็ว ๆ เพื่อแก้ง่วง
๒. เดินช้ามาก ๆ เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ และเห็นการเกิดดับชัดเจน
๓. ออกเสียง หรือบริกรรมด้วยวาจาเป็นเพียงการฝึกให้รู้เท่านั้น
๔. เดินมองธรรมชาติ เพื่อแก้สภาวะบางอย่าง
-
สรุปการกำหนดอิริยาบถย่อย
-
ก. หลักการ
อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต สมฺปชานการี โหติ, อาโกกิเต วิโลกิเต สมฺปชานการี โหติ, สมฺมิญฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ, สงฺฆาฏิปตฺตจีวรธารเณ สมฺปชานการี โหติ, คเต ฐิเต นิสนฺเน สุตฺเต ชาคริเต ภาสิเต ตุณฺหีภาเว สมฺปชานการี โหติ. (ผู้ปฏิบัติ) เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอในการก้าวไปข้างหน้าในการก้าวกลับหลังเป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอในการเหยียดออก, เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการกิน ในการดื่ม ในการเคี้ยว ในการลิ้ม, เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอในการเดิน ในการยืน ในการนั่ง ในการนอนหลับ ในการตื่นนอน ในการพูด ในการนั่ง
-
ข. วิธีการปฏิบัติ
๑. ต้องตั้งจิตจดจ่ออยู่ที่อาการเคลื่อนไหวในการกระทำขณะนั้น ๆ
๒. ขณะกำหนดอยู่คำบริกรรมจิตกับสติต้องเป็นไปพร้อมกันทันปัจจุบัน
๓. ควรกำหนดอย่างช้า ๆ และต่อเนื่อง
๔. เมื่อมีอารมณ์หรือสภาวธรรมอย่างอื่นแทรกเข้ามาพึงหยุดการกำหนดก่อนจากนั้นค่อย กลับมากำหนดอิริยาบถนั้นอีก
-
ค. ข้อที่ไม่พึงกระทำ (ขณะกำหนด)
๑. เพ่งมองดูสัณฐานบัญญัติ
๒. บังคับให้เป็นไปตามอำนาจความต้องการของตน
๓. ออกเสียงดัง ๆ หรือท่องบ่นขณะกำหนด
๔. ไม่ควรกำหนดอาการพองหนอ – ยุบหนอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น